5 การละเล่นที่คุ้นเคย
1. หมากเก็บ กติกาก็คือ ต้องมีการเสี่ยงทายว่าใครจะได้เล่นก่อน โดยใช้วิธี " ขึ้นร้าน " คือแบมือถือหมากทั้ง 5เม็ดไว้แล้วโยนหมาก ก่อนจะหงายมือรับ แล้วพลิกมือกลับรับหมากอีกที ใครมีหมากอยู่บนมือมากที่สุด คนนั้นจะได่เป็นผู้เล่นก่อน อย่างไรก็ตาม ปกติแล้ว " หมากเก็บ " มีวิธีเล่นหลายอย่าง แต่ละอย่างก็จะมีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น หมวกพวง, หมากจุ๊บ, อีกาเข้ารัง เป็นต้น
2.มอญซ่อนผ้า การละเล่นแสนสนุกที่ทำให้ผู้เล่นได้ลุ้นไปด้วย โดยใช้อุปกรณ์เพียงแค่ผ้าผืนเดียวเท่านั้น แล้วให้ผู้เล่นเสี่ยงทาย ใครแพ้คนนั้นต้องเป็น " มอญ " ส่วนคนอื่นๆ มานัั่งล้อมวง คนที่เป็น " มอญ " จะต้องถือผ้าไว้ในมือแล้วเดินวนอยู่นอกวง จากนั้นคนนั่งในวงจะร้องเพลงว่า " มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่นไว้นี่ฉันจะตีก้นเธอ
3.รีรีข้าวสาร กิตกา " รีรีข้าวสาร " ก็คือ ต้องมีผู้เล่น 2 คนหันหน้าเข้าหากัน และเอามือประสานกันไว้เป็นรูปซุ้ม ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ จะกี่คนก็ได้ยืนเกาะเอวกันไว้ตามลำดับ หัวแถวจะพาขบวนลอดซุ่มพร้อมร้องเพลง " รีรีข้าวสาร " จนเมื่อถึงประโยคที่ว่า " คอยพานคนข้างหลังไว้ " ผู้ที่ประสานมือเป็นซุ่มจะลดมือลงกันไม่ให้คนสุดท้ายผ่าเข้าไป เรียกว่า " คัดคน " และเล่นอย่างนี้ไปเรื่อยๆๆ จนคนหมด
4.เดินกะลา ดูเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่หาดูได้ไม่บ่อยนัก แต่หากเป็นสมัยก่อนจะเห็นเด็กๆ เดินกะลากันทั่วไป โดยผู้เล่นจะต้องนำกะลามะพร้าว 2 อันมาทำความสะอาดแล้วเจาะรูตรงกลาง ร้อยเชือกให้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้เชือกหลุดเวลาเดิน เวลาเดินให้ใช้นิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้คีบเชือกเอาไว้แล้วเดิน หากมีเด็กๆหลายคนอาจจัดแข่ง เดินกะลา ได้ด้วยการกำหนดเส้นชัยไว้ใครเดินถึงก่อนก็เป็นผู้ชนะไป
ประโยชน์ของการเดินกะลา ก็คือช่วยฝึกการทรงตัว ความสมดุลของร่ายกาย เพราะต้องระวังไม้ให้ตกกะลา ช่วงแรกๆ อาจจะรู้สึกเจ็บเท้า แต่ถ้าฝึกบ่อยๆ จะชินและหายเจ็บไปเอง แถมยังทำให้ร่างกายแข็งแรง เพลิดเพลินอีกด้วย
5.เล่นซ่อนหาหรือโป้งแปะ เล่นซ่อนหา หรือ โป้งแปะ โดยกติกาก็คือ คนที่เป็น " ผู้หา " ต้องปิดตา และให้เพื่อนๆไปหลบหาที่ซ่อน โดยอาจจะนับเลขก็ได้ ส่วน " ผู้ซ่อน " ในสมัยก่อนจะต้องร้องว่า " ปิดตาไม่มิดสาระพิษเข้าตา พ่อแม่ทำนาได้ข้าวเม็ดเดียว " แล้วแยกย้ายกันไปซ่อน
ประโยชน์จากการเล่นซ่อนหา ก็คือ ฝึกให้เป้นคนช่างสังเกต สามารถจับทิศทางของเสียงได้ รวมทั้งรู้จักประเมินสถานการณ์ที่ซ่อนตัว จึงฝคกความรอบคอบได้อีกทาง นอกจากนี้ยังทำให้ผู้เล่นสนุกสนาน อารมณ์แจ่มใจเบิกบานไปด้วย
3.รีรีข้าวสาร กิตกา " รีรีข้าวสาร " ก็คือ ต้องมีผู้เล่น 2 คนหันหน้าเข้าหากัน และเอามือประสานกันไว้เป็นรูปซุ้ม ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ จะกี่คนก็ได้ยืนเกาะเอวกันไว้ตามลำดับ หัวแถวจะพาขบวนลอดซุ่มพร้อมร้องเพลง " รีรีข้าวสาร " จนเมื่อถึงประโยคที่ว่า " คอยพานคนข้างหลังไว้ " ผู้ที่ประสานมือเป็นซุ่มจะลดมือลงกันไม่ให้คนสุดท้ายผ่าเข้าไป เรียกว่า " คัดคน " และเล่นอย่างนี้ไปเรื่อยๆๆ จนคนหมด
4.เดินกะลา ดูเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่หาดูได้ไม่บ่อยนัก แต่หากเป็นสมัยก่อนจะเห็นเด็กๆ เดินกะลากันทั่วไป โดยผู้เล่นจะต้องนำกะลามะพร้าว 2 อันมาทำความสะอาดแล้วเจาะรูตรงกลาง ร้อยเชือกให้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้เชือกหลุดเวลาเดิน เวลาเดินให้ใช้นิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้คีบเชือกเอาไว้แล้วเดิน หากมีเด็กๆหลายคนอาจจัดแข่ง เดินกะลา ได้ด้วยการกำหนดเส้นชัยไว้ใครเดินถึงก่อนก็เป็นผู้ชนะไป
ประโยชน์ของการเดินกะลา ก็คือช่วยฝึกการทรงตัว ความสมดุลของร่ายกาย เพราะต้องระวังไม้ให้ตกกะลา ช่วงแรกๆ อาจจะรู้สึกเจ็บเท้า แต่ถ้าฝึกบ่อยๆ จะชินและหายเจ็บไปเอง แถมยังทำให้ร่างกายแข็งแรง เพลิดเพลินอีกด้วย
5.เล่นซ่อนหาหรือโป้งแปะ เล่นซ่อนหา หรือ โป้งแปะ โดยกติกาก็คือ คนที่เป็น " ผู้หา " ต้องปิดตา และให้เพื่อนๆไปหลบหาที่ซ่อน โดยอาจจะนับเลขก็ได้ ส่วน " ผู้ซ่อน " ในสมัยก่อนจะต้องร้องว่า " ปิดตาไม่มิดสาระพิษเข้าตา พ่อแม่ทำนาได้ข้าวเม็ดเดียว " แล้วแยกย้ายกันไปซ่อน
ประโยชน์จากการเล่นซ่อนหา ก็คือ ฝึกให้เป้นคนช่างสังเกต สามารถจับทิศทางของเสียงได้ รวมทั้งรู้จักประเมินสถานการณ์ที่ซ่อนตัว จึงฝคกความรอบคอบได้อีกทาง นอกจากนี้ยังทำให้ผู้เล่นสนุกสนาน อารมณ์แจ่มใจเบิกบานไปด้วย
ดีมากครับ
ตอบลบ